สมุนไพรสวนครัว
ที่ใช้ลดน้ำตาลในเลือด
โรคเบาหวาน
จัดเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง
ซึ่งรักษาไม่หายและไม่ใช่โรคติดต่อ
แต่สามารถควบคุมได้โดยการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดถ้าไม่ควบคุมโรคเบาหวานได้ดี
ก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ โดยจะก่อให้เกิดปัญหากับส่วนต่างๆของร่างกายมากมายหลายส่วนได้
เช่น ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ รวมไปถึงหลอดเลือดแดง
ผู้ป่วยควรจะหาวิธีป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆที่จะเกิดขึ้น
ด้วยการปรับอาหารที่รับประทานอยู่เป็นประจำ หมั่นออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
และใช้ยาอย่างเพียงพอซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษา เพื่อกำหนดเป้าหมายในการรักษา
ซึ่งทำให้สามารถควบคุมเบาหวานได้ดี
สาเหตุของโรคเบาหวาน
น้ำตาลในกระแสเลือดเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปซึ่งจะถูกย่อยและเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลกลูโคส
จากนั้นจึงถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และส่งต่อไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย
เพื่อใช้เป็นพลังงาน
การเข้าสู่เซลล์ของน้ำตาลกลูโคสจะต้องอาศัยฮอร์โมนอินซูลินที่สร้างจากเซลล์ในตับอ่อนที่ชื่อว่า
เบต้าเซลล์
ฮอร์โมนอินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์
เพื่อให้เซลล์นำไปใช้เป็นพลังงาน
ดังนั้นการขาดฮอร์โมนอินซูลินจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวาน
บางครั้งโรคเบาหวานอาจเกิดจากประสิทธิภาพของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เช่น ภาวะการดื้อฮอร์โมนอินซูลินของเซลล์
ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สามารถเข้าสู่ภายในเซลล์ได้ น้ำตาลจึงอยู่ในกระแสเลือดมากขึ้นและอยู่เป็นเวลานาน
จนก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท
อินซูลิน
(insulin)
เป็นฮอร์โมนสำคัญชนิดหนึ่งของร่างกายสร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ซึ่งอยู่ในตับอ่อน
ฮอร์โมนชนิดนี้ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย
เพื่อให้เซลล์เผาผลาญน้ำตาลและเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต ถ้าขาดอินซูลินหรือการออกฤทธิ์ของอินซูลินไม่ดี
เซลล์ต่างๆในร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้ หรือนำไปใช้ได้ไม่เต็มที่
ทำให้เหลือน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าระดับคนปกติทั่วไปซึ่งจะก่อให้เกิดอาการต่างๆของโรคเบาหวานตามมา
นอกจากมีความผิดปกติอื่นๆอีก เช่น มีการสลายของสารไขมันและโปรตีนร่วมด้วย
อาการของโรคเบาหวาน
โดยทั่วไปแล้วคนปกติก่อนการรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดร้อยละ
70
ถึง 110 มิลลิกรัม หลังรับประทานอาหาร 2
ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่เกินร้อยละ 140 มิลลิกรัม
ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่มากนักอาจจะไม่มีอาการอะไรบ่งบอกให้เห็นได้
การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะทำได้โดยการเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาปริมาณน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหาร
อาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ได้แก่ การปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน
ซึ่งคนปกติทั่วไปมักจะไม่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะในเวลากลางดึก
หรือปัสสาวะอย่างมากไม่เกิน 1ครั้ง แต่เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่าร้อยละ
180 มิลลิกรัม โดยเฉพาะในเวลากลางคืนน้ำตาลจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
พร้อมทั้งดึงเอาน้ำออกมาด้วย ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ
ปัสสาวะที่ออกมามีน้ำตาลมากเมื่อปล่อยทิ้งไว้อาจมีมดมาตอม ผู้ป่วยมักจะหิวน้ำบ่อย
เนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย
น้ำหนักลด
ซึ่งเกิดจากที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้จึงย่อยสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อและไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายออกมาใช้เป็นพลังงานเพื่อทดแทน
ผู้ป่วยจะกินเก่ง หิวบ่อย แต่น้ำหนักลดลง
อาการอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้
เช่นการติดเชื้อ แผลหายช้า คันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิงสาเหตุของอาการคันเนื่องจากผิวแห้งมาก
หรือมีการอักเสบของผิวหนังเห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสายตา
เช่น สายตาสั้น ต้อกระจก น้ำตาลในเลือดสูง แขนและขาชาไม่มีความรู้สึก
เจ็บตามแขนและขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ถ้าปล่อยให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงนานๆจะทำให้เส้นประสาทเสื่อม
น้ำตาลในกระแสเลือดสูงอาจก่อให้เกิดการอาเจียน
ภาวะโรคแทรกซ้อน
เมื่อเป็นโรคเบาหวานระยะหนึ่ง
จะเกิดโรคแทรกซ้อนกับหลอดเลือดเล็ก (microvacular) โรคแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดเล็กนี้จะทำให้เกิดโรคไต
เบาหวานเข้าตาหากเกิดโรคแทรกซ้อนกับหลอดเลือดแดงใหญ่ (macrovascular) จนทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่แข็ง จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต
หลอดเลือดแดงที่ขาตีบ นอกจากนั้นยังจะเกิดปลายประสาทอักเสบ (neuropathic)ทำให้เกิดอาการขาชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ประสาทอัตโนมัติเสื่อมได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน
· บุคคลที่ไม่สามารถควบคุมการบริโภคน้ำตาลได้
ปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงตลอดเวลา
· การสูบบุหรี่
บุคคลที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่สูบบุหรี่
ยิ่งสูบบุหรี่มากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงสูงมากขึ้นเท่านั้น
· โรคอ้วน
คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ
· กิจวัตรประจำวัน
บุคคลที่มีชีวิตอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบออกแรงหรือ
ออกกำลังกายมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนที่ไม่อยู่นิ่งหรือคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ
· ความดันโลหิตสูง
บุคคลที่มีความดันโลหิตสูงมักมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนที่มีความดันอยู่ในเกณฑ์ปกติดังนั้นจึงควบคุมความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ความดันโลหิตสูงและหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง
· ระดับไขมันในเลือดสูง
เช่น คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไนด์
ระดับไขมันในเลือดที่สูงเกินเกณฑ์ปกติจะส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานมากขึ้นตามไปด้วย
· คนสูงอายุ
โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุ 45ปีขึ้นไป
ควรดูแลรักษาสุขภาพมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากอายุยิ่งมากโอกาสเสี่ยงในการป่วยด้วยโรคเบาหวานยิ่งสูงขึ้นตามตัวเลขของอายุ
· ประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานแม้ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ก็เป็นโรคที่ถูกถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
ดังนั้นถ้าพบว่ามีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานก็ควรหมั่นดูแลตัวเอง
เพื่อป้องกันการแสดงออกของโรคเบาหวาน
· ดื่มเหล้าเบียร์มาก
ผู้ที่นิยมดื่มเหล้าเบียร์หรือแอลกฮอล์มากๆหรือดื่มเป็นประจำมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนที่ไม่ดื่มแอลกฮอล์
· สตรีวัยหมดประจำเดือนมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น
· ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
คือ ภาวะที่ร่างกายยังสามารถสร้างอินซูลินได้
แต่อินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่เท่าคนปกติ
· คนที่มีกล้ามเนื้อหัวใจซีกซ้ายโต
มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนปกติทั่วไป
การควบคุม ป้องกัน และดูแลสุขภาพ
การดูแลสุขภาพเพื่อควบคุมและป้องกันในขณะที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวาน
ควรปฎิบัติตนโดยการปรับปรุงวิถีชีวิตให้เหมาะสม
และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งทำได้ดังนี้
· ออกกำลังกายให้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
· หมั่นเดินให้มาก
ไม่อาศัยยานพาหนะถ้าทำได้ ลดการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่ไม่จำเป็น เช่น
การใช้ลิฟต์ เป็นต้น
· ควบคุมการบริโภค
โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภทจานด่วนซึ่งมักจะมีไขมันสูง
· รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับปกติ
ไม่อ้วน ไม่ผอมจนเกินไป
การดูแลสุขภาพในขณะที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานแล้ว
เมื่อเป็นโรคเบาหวานปัญหาที่มักพบตามมาก็คือปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดและหัวใจ
ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถดูแลสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดได้ดีขึ้นได้ ดังนี้
1.
ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ
โดยพยายามลดน้ำหนักตัวที่มากเกินไปให้ต่ำลงมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ไม่พึ่งยาลดความอ้วน แต่ใช้วิธีควบคุมอาหารบางจำพวก เช่น ไขมันและของหวาน
หมั่นออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ
2.
งดการสูบบุหรี่
3.
รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพให้ได้สมดุลกันโดยลดอาหารที่มีไขมัน
ลดอาหารเค็ม ลดขนมหวาน ผลไม้หวาน แต่รับประทานอาหารจำพวกที่มีใยอาหารมากๆผักชนิดต่างๆ
เป้าหมายของการควบคุมโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรหมั่นตรวจสุขภาพตามที่แพทย์นัดหมายไว้
และควบคุมค่าต่างๆที่เป็นดัชนีชี้วัดของสุขภาพให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเสมอ ได้แก่
1.
ความดันโลหิต ควรต่ำกว่า 135/85 มิลลิเมตรปรอท
2.
ระดับคอเลสเตอรอล “เลว” ที่เรียกว่า LDL ควรต่ำกว่า
115 มิลลิกรัมต่อดล.
3.
ระดับคอเลสเตอรอล “ดี” ที่เรียกว่า HDL ควรสูงกว่า
46 มิลลิกรัมต่อดล.
4.
ระดับไตรกลีเซอไรด์
ควรต่ำกว่า 150 มก./ดล.
5.
ควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดให้ได้
HbA1c* ต่ำกว่าร้อยละ 7
ทั้งหมดนี้เป็นการป้องกันดูแลสุขภาพ
เพื่อให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน จะเห็นได้สิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมเบาหวานก็คือ
การกินอยู่อาหารบางชนิดที่รับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ
บางชนิดประกอบด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
สมุนไพรที่ได้รับการยอมรับและมีรายงานทางเภสัชวิทยาว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ได้แก่
มะระขี้นก เป็นต้น
มะระขี้นก
ชื่ออื่นๆ มะห่อย มะไห่ มะนอย
ผักไซ(เหนือ) สุพะซู
สุพะเด (กะเหรี่ยง – แม่ฮ่องสอน)
มะร้อยรู (กลาง) ผักเหย (สงขลา) ผักไห(นครศรีธรรมราช)
ระ (ใต้) ผักสะไล ผักไส่
(อีสาน) โกควยเกี๋ยะ โควกวย (จีน) มะระเหล็ก
ชื่ออังกฤษ
Balsam Pear, Bitter
Cucumber, Leprosy Gourd,Bitter Gourd
ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica charantia
Linn.
วงศ์ Cucurbitaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
มะระ
เป็นพืชล้มลุกมีลักษณะเป็นไม้เถาชนิดหนึ่งที่มีมือเกาะ
ซึ่งเจริญงอกมาจากส่วนของข้อ ใช้สำหรับยึดจับ
เป็นพืชที่เลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้หรือตามร้าน มีอายุเพียง 1ปี ลำต้นมีสีเขียวเป็นเหลี่ยม 5 เหลี่ยม
ขนาดเล็กและยาว ตามผิวลำต้นมีขนขึ้นประปราย ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน
ลักษณะใบยักเว้าลึกเข้าไปในตัวใบ 5ถึง 6 หยักรูปฝ่ามือมีสีเขียวอ่อน และมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมเล็กน้อย
เมื่อแก่จัดจะมีสีเขียวเข้ม ปลายใบแหลม ใบกว้าง 4.5 ถึง11.5
เซนติเมตร ยาว 3.5 ถึง 10 เซนติเมตร เส้นใบแยกออกจากจุดเดียวกัน แล้วแตกออกเป็นร่างแห ก้านใบยาว
ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง เจริญมาจากข้อและออกบริเวณง่ามใบ ดอกแยกเพศกันแต่อยู่บนต้นเดียวกัน
กลีบดอกสีเหลืองรูประฆัง ดอกตัวผู้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 ถึง 4.0 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวปนเหลือง กลีบดอกมี 5กลีบ สีเหลืองสด
มีกลีบเลี้ยงห่อหุ้มเอาไว้ กลีบดอกรูปขอบขนาน หรือรูปไข่หรือพบทั้งสองแบบ
เกสรตัวผู้มี 3อัน แต่ละอันมีอับละอองเรณูและก้านชูเกสรตัวผู้อย่างละ
3อัน เจริญออกมาก่อนดอกตัวเมีย
คอกตัวเมียมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 ถึง 4.0 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 5กลีบ สีเขียวปนเหลือง
กลีบดอกมี5กลีบ สีเหลืองสด เกสรตัวเมียมีรังไข่ 1 อัน ยอดเกสรตัวเมีย 3 อัน ก้านชูเกสรตัวเมีย 3 อันรังไข่ฝังอยู่ในฐานรองดอก (inferior ovary)
ผลมะระ มีรูปร่างคล้ายกระสวย ผิวของเปลือกขรุขระและมีปุ่มยื่นออกมา
ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ถึง 3.5 เซนติเมตร
ยาว 5 ถึง 8 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว
เมื่อแก่เต็มที่จะเห็นเป็นสีส้มหรือแดงอมส้ม ปลายผลจะแตกอ้าเป็น 3แฉก เมล็ดเมื่อแก่เต็มที่มีเมือกสีแดงสดห่อหุ้มเมล็ดอยู่
เมล็ดมีรูปร่างกลม รี แบน ปลายแหลมสีฟางข้าว ทุกส่วนที่อยู่เหนือดินของพืชมีรสขม
มะระแบ่งตามลักษณะของผลได้เป็น 2ชนิด
1.
มะระขี้นก(มะระไทย) คือมะระที่มีผลเล็กๆสั้นป้อม หัวแหลม
ท้ายแหลม ผลยาวประมาณ 2 ถึง 3 นิ้ว ผิวผลขรุขระ
สีเขียวแก่ รสขมจัดและขมกว่ามะระจีน มะระชนิดนี้เป็นพืชพันธุ์ไทย
และเป็นชนิดที่มีสรรพคุณตามตำรายาไทย
2.
มะระจีน
ผลยาวใหญ่สีขาวอมเขียว ผิวขรุขระ ร่องใหญ่ผลยาวประมาณ 4 ถึง 9 นิ้ว อาจยาวถึง 10 ถึง 12นิ้ว นอกจากนี้ลำต้นของมะระจีนมีขนมากกว่ามะระขี้นก
ส่วนที่ใช้และวิธีการใช้
ผล
เนื้อของผลที่ยังไม่สุกใช้เป็นอาหาร ผักจิ้ม ต้ม แกง ช่วยเจริญอาหาร ผลโตเต็มที่
หั่นเนื้อมะระตากแห้ง ชงน้ำรับประทานต่างน้ำชารักษาเบาหวาน
สรรพคุณ
ผลต้มรับประทานแต่น้ำเป็นยาแก้ไข้
น้ำคั้นจากผลใช้ดื่มแก้ไข้ บำรุงระดู นอกจากนี้ยังใช้อมแก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุยได้
ผลตำพอกฝี แก้บวม แก้ปวด แผลฝี
องค์ประกอบทางเคมี
มอมอร์ดิโคไซด์
(momordicoside)
จัดเป็นสารกลุ่มคิวเคอร์บิตาซิน
มอมอร์ดิซีน(momordicin) จัดเป็นสารกลุ่มไตรเทอร์ปีนไฟโตสเตียรอล
กลัยโคไซด์ (phytosterol glycoside) ชาร์แรนติน (charanthin)
โพลีเปปไทด์ พี (polypeptide P) และโปรตีน MRK
29 (TBGP29)
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1.
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
มีการวิจัยในสัตว์ทดลองโดยใช้สารสกัดด้วยร้อยละ
95
แอลกฮอล์ สารสกัดด้วยน้ำ น้ำคั้น และยาชงจากผล
พบว่าให้ผลลดน้ำตาลในเลือดได้ สาระสำคัญที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ คือ
โพลีเปปไทด์ พี และชาร์แรนติน
2.
ฤทธิ์ในการต้านเชื้อ
HIV โปรตีนMRK 29 (หรือ TBGP 29) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีน้ำหนักโมเลกุล28.6
กิโลกรัม
แยกได้จากผลและเมล็ดของมะระขี้นก สาร MRK 29
ที่ความเข้มข้น 18 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
มีคุณสมบัติในการยับยั้งเอ็นไซม์รีเวอร์ทรานสคริปเทส (HIV-1 reverse
transcriptase) ในหลอดทดลอง ลำดับของกรดอะมิโนโปรตีน MRK 29 ต่างกับ โปรตีน MAP 30 ซึ่งเป็นโปรตีนที่สกัดได้จากมะระจีนในต่างประเทศที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ
HIV โดยยับยั้งเอ็นไซม์รีเวอร์ทรานสคริปเทส (HIV-1
reverse transcriptase)และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อินทรีเกรส (HIV-integrase)
นอกจากนี้สารกลัยโคโปรตีนที่ชื่อ มอมอร์ชาริน คุณสมบัติ ทำให้ระดับ
HIV antigen ในเซลล์ที่ติดเชื้อ HIV ต่ำลง
และยังมีผลในการลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อลงได้
3.
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง สารกลุ่มอนุพันธ์ของไอโซพรีนอยด์
(iso-
prenoid derivatives) มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
ข้อมูลทางคลินิกในผู้ป่วยติดเชื้อ HIV
ประสบการณ์จากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งใช้สารสกัดจากมะระจีนในต่างประเทศ
พบว่าการใช้นำคั้น หรือน้ำต้มจากใบ หรือผลสดสวนทวารจะทำให้ค่า CD4 เพิ่มขึ้นจาก 480 เป็น 1060 และ
CD4/CD8 เพิ่มขึ้นจาก 0.91 เป็น 1.54 และต่อมาพบว่าการตรวจ P24 antigen ในเลือดให้ผลลบ(เวลาในการสังเกตผลประมาณ 2ถึง 3ปี) อาการข้างเคียงที่พบ
คือ ร้อนวูบวาบทันทีหลังจากสวนทวาร
อึดอัดแน่นท้องถ้าสวนทวารไม่ถูกวิธีการใช้ก่อนนอนอาจทำให้นอนไม่หลับ
โปรตีนจากมะระขี้นกเพื่อใช้ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อHIV
ใช้เมล็ดจากผลสุกประมาณ
70 เมล็ด เอาเนื้อเยื่อสีแดงที่หุ้มเมล็ดออก ล้างน้ำให้สะอาด
ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ กะเทาะเปลือกเมล็ด
แล้วนำเนื้อเมล็ดที่มีสีขาวที่ได้หลังจากการกะเทาะเปลือกออกแล้วมาล้างน้ำเติมน้ำหรือน้ำเกลือแช่เย็น
90ถึง 100ซีซี
ปั่นในเครื่องปั่นจนได้น้ำสีขาวข้น จากนั้นก็กรองด้วยผ้าขาวบาง 2 ถึง3 ชั้นนำน้ำที่กรองได้สวนทวารครั้งละ 10ซีซี ทุกขั้นตอนควรทำในสภาวะที่เย็น เพื่อป้องกันการสลายตัวของโปรตีน
ความเป็นพิษ
จากการศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดโปรตีนอย่างหยาบจากมะระขี้นก
พบว่าค่า LD50 (ขนาดสารที่ทำให้สัตว์ทดลองตายไปครึ่งหนึ่ง) มีค่าเท่ากับ 0.88 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
เมื่อฉีดเข้าเส้นเลือดในหนูขาว
บรรณานุกรม
ผศ.ภก.
ชาญชัย สาดแสงจันทร์ เภชัสโภชนากินผักให้เป็นยา กรุงเทพมหานคร : บุ๊คส์ ทูยู .2552, 288หน้า
สาระเนื้อหาน่าสนใจมาก
ตอบลบอย่างงี้ต้องหัดกินมะระบ้างแล้ว
ตอบลบอย่างงี้ต้องหัดกินมะระบ้างแล้ว
ตอบลบไม่ชอบมะระเลย แต่มีประโยชน์อย่างนี้ต้องพยายามฝืนกินแล้วซิ
ตอบลบมะระขมมมม...
ตอบลบประโยชน์เยอะแยะเลย
ตอบลบของที่เราไม่ชอบนี่มีประโยชน์จริง
ตอบลบของที่เราไม่ชอบนี่มีประโยชน์จริง
ตอบลบปกติ ไม่กินมะระจะลองทานดูคะ
ตอบลบสาระเน้นๆ
ตอบลบมีประโยชน์มากๆๆๆ
ตอบลบปกติเราก็ชอบกินมะระนะ อิอิ
ตอบลบต้องหัดกินมะระแล้ว
ตอบลบ